Tuesday, September 4, 2007

สิ่งที่กลัวและสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นสิ่งเดียวกัน

เมื่อวานเขียนว่า เมื่อมีความกลัว นึกถึงพระแม่ตารา (หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ใด) แล้วความกลัวหายไป เราอาจจะคิดว่าพระองค์มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ดุจดังพระองค์อยู่นอกกายเรา ในยามที่เราต้องการ พระองค์จะเสด็จมา แต่จริงๆแล้ว พระองค์อยู่ในใจเราตลอด สิ่งที่ทำให้เรากลัวคือจิตที่ปรุงแต่ง สิ่งที่เรายึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งเมื่อยามกลัวก็อยู่ในใจเราเช่นกัน หรือกล่าวได้ว่า เป็นผลงานสร้างสรรค์ของจิตดวงเดียวกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจมีผู้ถามว่า แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะสวดมนตร์ถึงพระองค์ทำไม เราจะสวดคาถาทำไม เมื่อเรารู้ว่าพระองค์อยู่ในใจเราเอง คำตอบก็คือ การจะเข้าใจประเด็นนี้ได้อาศัยการฝึกฝนเป็นเวลานาน เราอาจจะคิดว่าเราเข้าใจ เราอาจจะพูดหรือเขียนเกี่ยวกับสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน แต่จะเข้าใจจริงอย่างไม่มีข้อสงสัย อย่างไม่ลืมตัวเมื่อความกลัวเกิดขึ้น อาศัยการฝึกจิตอย่างอุตสาหะ การสวดมนตร์ภาวนานึกถึงคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าเป็นหนทางหนึ่ง ในการขัดเกลาจิตให้ปราศจากความคิดปรุงแต่ง ให้จิตนึกถึงความดีงามอยู่ตลอดเวลา

เมื่อสวดคาถาจนเป็นนิสัย ความกลัวก็ลดลง การปรุงแต่งก็น้อยลง แม้แต่ในความฝัน เมื่อฝันร้ายเห็นสิ่งที่ทำให้กลัว เช่น บุคคลหน้าตาดุร้าย สัตว์ร้าย ภูติผี ก็ยังสามารถยึดพระแม่ตาราเป็นที่พึ่งได้และแปรเปลี่ยนสิ่งที่ทำให้กลัวในความฝัน
ให้มีคุณลักษณะเดียวกับพระองค์ได้

3 comments:

joshua said...
This comment has been removed by a blog administrator.
Keeratikhun Chuenchomrat (Champagne) said...

how to deal with the bad mood. Recently, I have been very moody because of the work load of all the staffs at Intensive Thai.

We all feel that some have taken advantages from us and just leave burdens on us.

As a senioe staff, I have to fight for the team and I am so tired.

May Tara bless me and take me out of the bad mood.

Champagne

Jampa Nyima said...

หลายๆ ครั้งที่รู้สึกโกรธ รู้สึกหงุดหงิด ทั้งเรื่องงาน เรื่องคนรอบข้าง ปรึกษาอาจารย์กฤษ ทุกครั้งอาจารย์กฤษก็จะบอกว่า "จิตใจก็เป็นเช่นนี้เอง"

เป็นคำสอน คำเตือนใจที่สั้นๆ ง่ายๆ ที่ทำให้เรารู้ว่า บางครั้งที่เราโกรธ เราหงุดหงิด อาจจะไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นๆ ที่เรากังวลอยู่ หรือต้อง "ต่อสู้" อยู่ แต่เราหงุดหงิดเพราะจิตใจเราไม่สบาย ไม่ดีอย่างที่ใจต้องการ

นั่นคือ เหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่ควรโกรธตัวเองเวลาที่เราโกรธ เพราะมันเป็น โกรธซ้อนโกรธ

ทุกอย่างล้วนเป็นความว่างทั้งสิ้น หลายๆ ครั้งในการทำงานที่ผ่านมา บ่อยครั้งที่รู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ยุติธรรม แต่ทั้งหมดนั้นในปัจจุบันขณะนี้ก็ได้หมดไปแล้ว ทำให้เข้าใจว่าที่จริงแล้วทั้งหมดก็เป็นความว่างทั้งสิ้น ถ้าจิตเราไม่เก็บเอามันมาปรุงแต่ง ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร